เมื่อแม่ของท่านนบีมูซาต้องยอมให้เด็กน้อยถูกพลัดพรากไป หัวใจของนางก็ว่างเปล่า เป็นความว่างเปล่าที่ทำให้ไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นไดในโลกนี้ได้นอกจากเด็ก น้อยมูซาเท่านั้น1 เป็นความว่างเปล่าจากทุกๆ สิ่งนอกจากเรื่องราวของเด็กน้อย เนื่องจากความรักอย่างสุดซึ้งที่มีต่อเด็กน้อยและความต้องการที่จะพบหน้าเขา2
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
มีคำกล่าวของบรรพชนรุ่นก่อน (สลัฟ) บางท่าน กล่าวว่า “ความหลงใหลคืออาการแสดงของหัวใจที่ว่างเปล่าจากความรัก3” เมื่อความว่างเปล่าในหัวใจไม่ได้ถูกเติมเต็มด้วยความรัก คงเป็นธรรมดาที่จะมีสิ่งอื่นเข้ามาเติมเต็มความว่างเปล่าอันนี้ มันอาจจะเป็นความกลัว ความหวาดระแวง ความสับสน ความโดดเดี่ยว หรือความรู้สึกอื่นๆ อีกมากมายที่จะเข้ามา เป็นความรู้สึกที่หล่อหลอมรวมกันในหัวใจของใครหลายๆคน จนก่อเกิดเป็น “โรคกลัวชมรม
(Chomromophobia)” เป็นความกลัวที่ไม่ได้ก่อเกิดจากประสบการณ์ แต่เป็นสิ่งที่ก่อเกิดจากความว่างเปล่าในหัวใจ เป็นความกลัวที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผลใดๆ มารองรับ เป็นความกลัวที่นำไปสู่จินตภาพที่มืดมิดที่มีต่อชมรม ภาพของชมรมที่น่ากลัวได้ถูกสร้างขึ้นมาในห้วงความคิดของคนที่เป็นโรคนี้ ภาพของชมรมที่มีปีศาจร้ายสิงสถิตย์อยู่ เป็นปีศาจร้ายที่พร้อมจะจับทุกคนเข้ารีตหากหลงเข้าไป ใครเข้าไปในชมรมแล้ว จะถูกปีศาจร้ายจับล้างสมองจนกลายเป็นคนที่เคร่งเครียด กลายเป็นคนที่ไม่ยอมสุงสิงกับเพศตรงข้าม กลายเป็นคนที่ไม่ยอมเข้าสังคม กลายเป็นคนที่น่ากลัวอย่างที่สุด จากคนที่ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาจะเริ่มมีเครารุงรัง จากคนที่แต่งตัวสบายๆ เริ่มกลายเป็นคนที่มีผ้าคลุมเทอะทะ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังมีผ้าครุมสีดำผืนใหญ่ปกปิดทั่วร่างกาย ซึ่งมองแล้วหลอนสุดๆ
หากมองจากสภาพการณ์ต่างๆแล้วจะพบว่า ณ ตอนนี้โรคชมรมโมโฟเบียได้แพร่กระจายไปเป็นวงกว้างจนยากจะหาตัวยาใดๆ มารักษา ได้ เป็นโรคที่ทำให้หลายๆ คนไม่กล้าที่จะขึ้นมาบนชมรม ไม่กล้าที่จะรู้จักคนในชมรม ไม่กล้าแม้กระทั่งการเดินสวนทางกัน หัวใจที่ว่างเปล่า หัวใจที่ปราศจากความรัก คือปัจจัยที่สำคัญมากที่จะทำให้ใครหลายๆ คนต้องป่วยเป็นโรคนี้
หากย้อนไปมองความว่างเปล่าในจิตใจของแม่ของท่านนบีมูซาแล้ว จะพบว่าหัวใจของนางได้ถูกเติมด้วยกับความรักอย่างสุดซึ้งที่มีต่อท่านนบีมูซา ความรักอันนี้ได้ผลักดันความกลัวออกไป เป็นความรักที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของนาง ความรักที่ก่อเกิดเป็นความหวังว่าหนึ่งจะได้มีโอกาสได้พบหน้าลูกชายสุดที่ รัก เป็นความรักที่ทำให้ชีวิตของนางเต็มไปด้วยความหมาย
หากพิจารณาเรื่องราวของแม่ของท่านนบีมูซาแล้ว จะพบได้ว่าวิธีการเดียวที่จะรักษาโรคชมรมโมโฟเบียได้ คือการที่จะต้องทดแทนหัวใจที่ว่างเปล่าของคนที่เป็นโรคนี้ด้วยความรัก เริ่มด้วยความรักที่เขาจะมีต่อพระผู้สร้าง อันเป็นแก่นแท้และรากฐานของความรักทั้งมวล จากความรักต่อพระผู้สร้าง เขาจะเริ่มเรียนรู้ที่จะรักพี่น้องร่วมศรัทธาของเขา ในที่สุดในหัวใจของเขาก็จะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป หัวใจของเขาจะไม่มีที่ว่างให้กับความกลัวใดๆ อีก ในที่สุดโรคกลัวชมรมก็จะค่อยๆ หายไป เขาจะเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าภาพทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นมาเกี่ยวกับชมรม นั้นเป็นแค่ภาพหลอนจากอาการป่วยเท่านั้น เขาจะเริ่มกล้าที่จะเข้ามาสัมผัสกับชมรม เขาพร้อมที่จะก้าวเข้ามารู้จักชมรมด้วยการสัมผัสด้วยตัวเอง เขาจะเริ่มเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพี่น้องในชมรม เขาเริ่มจะสัมผัสกับความรักความห่วงใยที่คนในชมรมหยิบยื่นให้ มันคือความรู้สึกดีๆ ของจิตวิญญาณที่มีต่อกัน มันคือการผสมผสานกันทางจิตใจ
แต่อย่างไรก็ตาม คงเป็นสิ่งที่ยากมากในการที่หัวใจที่ว่างเปล่าซึ่งถูกอัดแน่นด้วยความกลัว ของใครคนหนึ่งจะสามารถใส่ความรักเข้าไปทดแทนความกลัวอันนี้ได้ มันต้องอาศัยความจริงใจและความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของตัวผู้ป่วยที่จะรักษาตัวเองจากโรคนี้ และมันคงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพี่น้องในชมรมที่จะต้องพยายามดูแลเอาใจใส่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ พร้อมๆ ไปกับการที่ที่ผู้ป่วยก็ต้องพยายามจริงจัง และจริงใจในการที่จะรักษาตัวเอง ผู้ป่วยต้องพยายามที่จะกำจัดความกลัวออกไปจากหัวใจ ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้หัวใจกลับมามีที่ว่างอีกครั้งสำหรับความรักที่จะถูกเติมเข้าไปทดแทนความกลัวเหล่านี้ เมื่อความกลัวค่อยๆ ถูกเอาออกไปแล้ว พี่น้องรอบข้างก็จะต้องจริงใจและจริงจังในการที่จะนำความรักมาแบ่งปันให้แก่ผู้ป่วย เติมเต็มมันเข้าไปในจิตใจที่เริ่มมีที่ว่างจากความกลัว ทุกๆ ครั้งที่หัวใจมีที่ว่างเพิ่มขึ้นเนื่องจากความกลัวที่ถูกนำออกไป ที่ว่างเหล่านี้จะต้องถูกทดแทนด้วยความรักอย่างสม่ำเสมอ พี่น้องรอบข้างจะต้องไม่ละเลย และจะต้องคอยดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่หัวใจมีที่ว่างแม้เพียงน้อยนิดมันจะต้องถูกเติมเต็มด้วยความรักเสมอ หากปราศจากการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดแล้ว หากหัวใจที่มีที่ว่างไม่ถูกทดแทนด้วยความรักอย่างทันท่วงที ในที่สุดความกลัวก็อาจจะหวนกลับมา การที่จะกำจัดโรคกลัวชมรมออกไปคงไม่สามรถทำได้หากผู้ป่วยยังไม่จริงใจที่จะรักษาและพี่น้องในชมรมไม่จริงจังในการที่จะช่วยเหลือ และยิ่งเป็นไปไม่ได้หากทั้งตัวผู้ป่วยและพี่น้องในชมรมไม่มีความรักที่จะแบ่งปันกันและกัน เป็นไปไม่ได้ที่โรคนี้จะถูกกำจัดออกไปในขณะที่ผู้ป่วยยังไม่พยายามเปิดใจยอมรับว่าตัวเองป่วย เป็นไปไม่ได้ที่โรคนี้จะถูกกำจัดออกไปในขณะที่พี่น้องในชมรมไม่จริงใจที่จะ มอบความรักให้กับผู้ป่วย และไม่มีความพยายามเสียสละทุ่มเทเพื่อดูแลกัน ไม่เสียสละทุ่มเทในการที่จะมอบความรักให้แก่กันและกัน ความรู้สึกดีๆทางจิตวิญญาณที่มีต่อกันและการผสานกันทางจิตใจจะไม่สามารถเกิดขั้นได้เลย หากทุกคนไม่จริงจัง และไม่จริงใจในการที่จะเปิดใจเข้าหาซึ่งกันและกัน ความรู้สึกดีๆ ทางจิตวิญญาณที่มีต่อกันและการผสานกันทางจิตใจจะไม่สามารถเกิดขั้นได้เลย หากทุกคนไม่จริงจัง และไม่จริงใจในการที่จะเติมเต็มความรักเข้าไปในหัวใจที่ว่างเปล่าของกันและกัน
1) ตัฟซีรอิบนุกาซีร 2) อธิบายโดยอิบนุกอยยิม 3) อ้างจากท่านอิบนุกอยยิม 4) อิบนุกอยยิม “จิต
วิญญาณนั้นเหมือนกับทหารเกณฑ์เมื่อพบกับผู้ที่คล้ายคลึงกันหรือคนที่รู้จักกันก็จะหันหน้าเข้าหากัน เมื่อพบผู้ที่แตกต่างกันก็จะอยู่ห่างๆ กันไป” (หะดิษจากซอเฮียะห์บุคคอรีย์ , 3336) การที่ใครบางคนจะเข้าหากันเพื่อเติมเต็มความรักให้กันและกัน คงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องมีส่วนหนึ่งของชีวิตร่วมกัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นของกันและกัน เป็นส่วนที่ถูกชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ความรักความศรัทธามั่นที่พวกเขามีต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาที่จะเชื่อมโยง ส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ ประการสุดท้าย และประการที่สำคัญที่สุดที่จะกำจัดโรคชมรมโมโฟเบียออกไปได้อย่างราบคาบ คือการที่ความรักความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าได้ถักทอสายใยลงบนหัวใจของทุกคน เป็นสายใยที่จะเชื่อมโยงส่วนหนึ่งของชีวิตแต่ละคนเข้าด้วยกัน เป็นสายใยที่จะนำไปสู่ความรักต่อกันและกัน เป็นความรักที่ผูกโยงหัวใจของทุกคนเข้าด้วยกัน เป็นความรักที่จะปกป้องทุกคนจากความกลัวทุกรูปแบบ เป็นความรักที่นำไปสู่ความรู้สึกดีๆของจิตวิญญาณที่มีต่อกัน
ด้วยความปรารถนาดี : ฝ่ายวิชาการ ชมรมมุสลิมจุฬา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น